กำแพงเมืองจีนในบริเวณเขตพื้นที่มณฑลเหอเป่ย (ที่มา Baidu News)
ท่านผู้อ่านทราบหรือไม่ว่าประเทศจีนมีแหล่งท่องเที่ยวมากมาย เนื่องจากพื้นที่ประเทศที่กว้างใหญ่จากเหนือลงใต้ จากตะวันออกไปตะวันตกมีลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกัน ทางตอนใต้ของจีนอากาศร้อนชื้น ฝนตกชุก ส่วนทางตอนเหนืออากาศหนาวแห้ง ทำให้แต่ละภูมิภาคของจีนมีลักษณะทางธรรมชาติที่แตกต่างกันไป อีกทั้งจีนยังเป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานหลายพันปี ทำให้สถานที่ท่องเที่ยวมีหลากหลายทั้งธรรมชาติที่งดงามไปจนถึงเมืองเก่าและวัฒนธรรมโบราณ
ในบทความสัปดาห์นี้ ผู้เขียนขอแนะนำอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของจีนโดยภาพรวมให้ทุกท่านได้ทราบกัน โดยเฉพาะหลังจากโรคระบาดโควิด-19 นี้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศต่างได้รับผลกระทบทางตรงกันถ้วนหน้า
ในช่วงสองเดือนนี้ รัฐบาลจีนเริ่มที่จะฟื้นฟูการท่องเที่ยวในประเทศ โดยการอนุญาตให้บริษัทท่องเที่ยวสามารถขายทัวร์ท่องเที่ยวภายในประเทศระหว่างมณฑลได้ หลังก่อนหน้านี้ถูกให้หยุดไป และในช่วงนี้ทัวร์โรงแรม ตั๋วเครื่องบินในประเทศก็ราคาถูกลงมาก ถือเป็นนาทีทองของคนจีนที่จะท่องเที่ยวในประเทศ
ปัจจุบันจีนมีแหล่งท่องเที่ยวอนุรักษ์ที่เป็นมรดกโลกทั้งสิ้น 55 แห่งทั่วประเทศ โดยจำแนกเป็นสถานที่อนุรักษ์ทางวัฒนธรรมโบราณ 37 แห่ง สถานที่อนุรักษ์ทางธรรมชาติ 14 แห่ง สถานที่อนุรักษ์ทั้งทางวัฒนธรรมโบราณและธรรมชาติ 4 แห่ง ทำให้จีนเป็นประเทศที่มีสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นมรดกโลกมากที่สุดในโลก
จากประสบการณ์ของผู้เขียนมองว่า จีนเป็นประเทศที่มีสถานที่ท่องเที่ยวมากจริง ๆ อีกทั้งมีหลายประเภทปลีกย่อยลงไปอีก ดังนั้นแค่คนจีนเองก็ยากนักที่จะเที่ยวให้ทั่วทุกที่ ผู้เขียนมีเพื่อนคนจีนอยู่ที่คุนหมิง มาจนบัดนี้ก็ยังไม่มีโอกาสมาที่ปักกิ่งสักครั้งเลย
อีกเรื่องหนึ่งที่ผู้เขียนสังเกตถึงการท่องเที่ยวในจีน มีการทำโฆษณากันหลากหลายในประเทศ แต่สำหรับต่างประเทศแล้วจีนโฆษณาด้านการท่องเที่ยวยังน้อยมาก อาจจะเป็นเพราะการท่องเที่ยวในประเทศต้อนรับแค่คนในประเทศตนเองก็ต้อนรับกันไม่หวาดไม่ไหว อีกทั้งแหล่งบริการท่องเที่ยวของจีนส่วนใหญ่จะใช้แต่ภาษาจีนในการสื่อสารเป็นหลัก ความเป็นสากลยังน้อยอยู่มากทีเดียว
ทั้งนี้ มีการจัดอันดับเมืองในจีนที่ทำรายได้จากการท่องเที่ยวได้มากที่สุด โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน พบว่าสามปีที่ผ่านมา 2017-2019 เมืองปักกิ่ง ฉงชิ่ง และเซี่ยงไฮ้ เป็นเมืองสามอันดับแรกของจีนที่ทำรายได้ด้านการท่องเที่ยวมากที่สุด ส่วนเมืองชั้นในด้านตะวันตกอย่างซีอานและเฉิงตูเป็นเมืองที่มีรายได้ด้านการท่องเที่ยวเติบโตสูงสุด โดยเฉิงตูเป็นลำดับ 6 ของประเทศและซีอานเป็นอันดับ 9 ของประเทศ
ในด้านของตัวเลขการเติบโตของนักท่องเที่ยวในประเทศจีน มีอัตราการเติบโตต่อปีประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ จากการรายงานของสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน กล่าวถึงตัวเลขคนจีนที่ท่องเที่ยวในประเทศปี 2019 มี 6,000 ล้านคนและนักท่องเที่ยวจากต่างชาติที่เข้ามาเที่ยวจีนมีจำนวน 300 ล้านคน ถือว่าความต่างของตัวเลขของนักท่องเที่ยวในประเทศกับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศของจีนต่างกันอยู่มากเลยทีเดียว โดยภาคการท่องเที่ยวสร้างคุณูปการให้แก่จีดีพีจีนแต่ละปีประมาณ 11 เปอร์เซ็นต์ สร้างงานสร้างอาชีพทั้งทางตรงและทางอ้อม 80 ล้านอัตรา
สำหรับตัวเลขของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาเที่ยวในประเทศจีนตั้งแต่ปี 2012 เป็นต้นมาตัวเลขค่อนข้างคงที่ไม่เพิ่มไม่ลดมาก นักท่องเที่ยวต่างประเทศของจีน อยู่ที่ประมาณ 250-300 ล้านคนในแต่ละปี และมีรายได้สะพัดจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาท่องเที่ยวในจีนแต่ละปี ประมาณ 1.3แสนล้านดอลล่าร์สหรัฐ แหล่งนักท่องเที่ยวต่างชาติหลักของจีน 75.9 เปอร์เซ็นต์มาจากประเทศทวีปเอเชีย, 7.7 เปอร์เซ็นต์มาจากทวีปละตินอเมริกา, 13.2 เปอร์เซ็นต์ มาจากทวีปยุโรป และ 1.4 เปอร์เซ็นต์มาจากทวีปแอฟริกา
ส่วนสัดส่วนอายุของนักท่องเที่ยวต่างชาติในจีน 50% คือกลุ่มคนอายุ 25-44 ปี รองลงมาคือกลุ่มคนอายุ 45-64 ปี คิดเป็นสัดส่วน 28.1%
การจัดอันดับประเทศที่เข้ามาเที่ยวในจีนมากที่สุด 10 อันดับแรกได้แก่ประเทศต่อไปนี้ พม่า เวียดนาม เกาหลีใต้ รัสเซีย ญี่ปุ่น อเมริกา มองโกเลีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ ส่วนไทยของเราอยู่ในอันดับที่ 12 จากประเทศที่มาท่องเที่ยวจีนทำให้เห็นว่าเป็นประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงทั้งสิ้น
หลายคนมองว่าจีนสกัดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้ไว ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจและชีวิตประชาชนฟื้นฟูเป็นปกติได้รวดเร็วเช่นกัน ในช่วงปลายปีนี้การท่องเที่ยวในประเทศของจีนได้รับการสนับสนุนอย่างมาก โดยเฉพาะจากรัฐบาลท้องถิ่นในที่ต่าง ๆ ผ่านโปรโมชั่นการท่องเที่ยวในแบบต่าง ๆ และแนวโน้มของนักท่องเที่ยวระหว่างมณฑลของจีนเพิ่มมากขึ้น
โดยเฉพาะในช่วงวันชาติหยุดยาวที่จะมาถึงเร็ว ๆ นี้คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวในประเทศจะเพิ่มขึ้นมากที่สุดในปีนี้ นับตั้งแต่มีการระบาดของโควิด-19
จากประสบการณ์ของผู้เขียนเองที่เพิ่งได้ไปซูโจวมาเมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา พบว่าในเมืองซูโจวประชาชนใช้ชีวิตกันปกติแล้ว หน้ากากอนามัยในที่สาธารณะก็เห็นใส่กันน้อยมากไม่ถึง 10% สถานที่สาธารณะทุกที่ในซูโจว ไม่มีการตักเตือนให้สวมหน้ากากอนามัย แถมสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ก็ไม่มีการจำกัดปริมาณคนเข้า และไม่มีการรักษาระยะห่างทางสังคมแล้ว ระหว่างที่นั่งรถไฟฟ้าความเร็วสูงจากปักกิ่งไปซูโจวทั้งขาไปและกลับ ก็ไม่มีการขายตั๋วแบบเว้นระยะห่างในการนั่ง นั่งกันเต็มทุกโบกี้เหมือนกับภาวะปกติ
สำหรับปักกิ่งที่ถือว่าเป็นเมืองหลวงของประเทศ การควบคุมการใส่หน้ากากอนามัยยังเข้มข้นอยู่ ทำให้ผู้เขียนรู้สึกว่าปัจจุบันนี้ปักกิ่งถือว่าเป็นเมืองคุมเข้มมากที่สุดในจีน
การเติบโตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการของจีนยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น การบริหารจัดการและมาตรฐานยังไม่เป็นระบบเดียวกัน แหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงหลายแห่งของจีนให้สัมปทานแก่เอกชนเข้ามาบริหารจัดการ ทำให้สถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งมีการเก็บเงินค่าเข้าและค่าบริการอื่น ๆ ภายในที่พ่วงเข้ามาแพงเกินจริง อย่างเช่น สถานที่ปีนเขาแห่งหนึ่งในมณฑลเหอเป่ย บัตรค่าเข้าคนละ 120 หยวน ยังไม่รวมกระเช้าขึ้นลงครั้งละ 80 หยวน ทำให้ในการปีนเขาครั้งหนึ่ง ๆ ต้องจ่ายเงินพื้นฐานคนละ 280 หยวนหรือพันกว่าบาท เป็นต้น
โดยรวมแล้วต้นทุนของการท่องเที่ยวในจีน โดยเฉพาะบัตรค่าเข้าสถานที่ท่องเที่ยวราคาสูงกว่าไทยพอสมควร และสถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่ต้องเสียเงินเพื่อเข้าไปทั้งนั้น(ไม่มีแบ่งคนจีนหรือต่างชาติ เก็บเงินเท่ากันหมด)ต่างกับที่เมืองไทยที่คนไทยยังเข้าได้ฟรีในหลายสถานที่ท่องเที่ยว อีกปัญหาหนึ่งคือเรื่องของการบริการจีนยังไม่เป็นมาตรฐาน นักท่องเที่ยวอาจจะไม่ได้รับบริการที่พอใจ ตรงนี้เองผู้เขียนเชื่อว่าหลายท่านที่เคยเข้ามาท่องเที่ยวในจีนน่าจะเคยมีประสบการณ์กับการบริการของพนักงานจีนที่ต่างกันไป
ในด้านอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว จีนในด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนยังมีความท้าทายหลายอย่าง ทั้งเรื่องแก้ปัญหาทัวร์ศูนย์เหรียญในประเทศ และความพยายามปรับตัวไปสู่การบริการท่องเที่ยวระดับอินเตอร์
จากที่ผู้เขียนแนะนำข้างต้น จะเห็นได้ว่าจีน ณ ปัจจุบันเน้นการท่องเที่ยวของประชาชนในประเทศ ส่วนนักท่องเที่ยวระหว่างประเทศจีนก็ให้ความสำคัญเช่นกัน แต่การโฆษณาการท่องเที่ยวจีนในต่างประเทศยังน้อยอยู่มาก หากเทียบกับ ททท. หน่วยงานการท่องเที่ยวของไทย
เส้นทางการพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจีนยังอีกไกล จีนมีศักยภาพอยู่มากเพราะความได้เปรียบของประเทศที่ใหญ่ มีทรัพยากรมากและหลากหลาย ผู้เขียนก็อยากชักชวนผู้อ่านทุกท่านถ้ามีโอกาสลองมาเที่ยวที่ประเทศจีนดูสักครั้งค่ะ